9 April 2010

พระพิฆเนศปางนอนองค์ใหญ่ที่สุดในโลก๑วัดสมานรัตนาราม

  • ระหว่างทางไปตลาดน้ำบางคล้า ฉะเชิงเทราเห็นป้ายโปรโมทพระพิฆเนศปางนอน เขาบอกว่าใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ที่วัดสมานรัตนาราม หลังจากที่อิ่มอร่อยกันแล้วระหว่างทางกลับก็เลยแวะไหว้พระพิฆเนศรกัน ทางเข้าวัดค่อนข้างไกลยังคุยกันอยู่เลยว่าถ้าไม่มีป้ายโปรโมทใครจะเข้าไปเที่ยววัดเนี่ย เพราะไกลจากถนนใหญ่พอดู แต่ว่าติดแม่น้ำบางประกง
  • ไปถึงฝนตั้งเค้ามา เราก็เลยรีบๆ ถ่ายรูป พอได้ชมใกล้ๆ ตัวองค์พระพิฆเนศรสวยมากโดยเฉพาะลายผ้าที่ท่านนุ่ง ฐานจะประดับด้วยภาพปั้นพระพิฆเนศรแบบนูนต่ำในปางต่างๆ สวยงามมาก ถึงแม้จะยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดีแต่ก็สวยมาก
  • หวังไว้ว่าถ้าสร้างเสร็จสมบูรณ์คงได้มีโอกาสมากราบไหว้อีกสักครั้ง
  • ภาพปั้นปางต่างๆ ที่หาชมได้ยาก
  • เราสามารถหย่อนเงินใส่กระป๋องให้กับหนูซึ่งเป็นพาหนะของพระพิฆเนศ แล้วกระซิบที่ข้างหนูของหนูว่าเราอยากได้อะไรบ้างช่วยให้หนูนำคำขอของเราไปบอกพระพิฆเนศ ท่านจะได้ช่วยให้คำขอของเราเป็นจริง
  • ไม่รู้ว่าคำขอของเราหนูจะนำไปบอกพระพิฆเนศหรือยังน้าาาาา อย่าอมค่าสินบนนะจ๊ะ




ประวัติ

วัดสมานรัตนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง บ้านหมู่ที่ ๑๑ ตำบลบางแก้ว(ตำบลไผ่เสวกเดิม) อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา และใกล้กับโครงการเขื่อนทดน้ำบางปะกง มีเนื้อที่ ตามหน้าโฉนดที่ตั้งวัด ๒๖ ไร่ ๓งาน ๕๐ ตารางวา (ที่ดินนอกวัดไม่มี) ตามคำบอกเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยนั้นเล่าสืบกันต่อกันมา
ว่ามีครอบ ครัวหนึ่งอยู่ในฐานะมั่นคง เป็นคหบดีมีคนเคารพนับถือ คือครอบครัวท่านขุนสมานจีนประชา (เดิมชื่อจ๋าย) เมื่อท่านขุนสมานจีนประชาถึงแก่กรรมแล้วภรรยาทั้ง ๒ ของท่านขุนสมานจีนประชา นางทิม สืบสมาน และ นางผ่อง สืบสมาน(เพิ่มนคร ) พร้อมด้วย นางยี่สุ่น (ผู้เป็นน้องสาว ต่อมาภายหลังได้สร้างพระปรางค์ขึ้นหน้าโบสถ์ ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นอยู่) มีความศรัทธาคิดจะสร้างวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สามีผู้ล่วงลับ จึงได้ดำเนินการสร้างวัด ปรากฏตามหลักฐาน เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๒

เมื่อสร้าง วัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดใหม่ขุนสมานเพิ่มนคร เป็นวัดราษฎ์ คณะสงฆ์ปกครองวัดสมัยนั้นเป็นฝ่ายมหานิกาย แต่ปกครองไม่ นานนัก ผู้สร้างวัดได้ถวายพระในคณะธรรมยุตมี พระครูศิริปัญญามุนี (อ่อน เทวนิโพ) เป็นประธานสงฆ์ในการรับถวายนี้

ชาวบ้านโดยทั่วไปมักเรียก วัดนี้ว่าวัดใหม่ขุนสมานมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเวลาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสเสด็จออกตรวจสังฆมณฑลทาง เรือตามลำแม่น้ำบางปะกง พระองค์ได้เยี่ยมวัด
ทรงเห็นป้ายชื่อวัดว่าไม่ สอดคล้องกับตำบลไผ่แสวก พระองค์จึงทรงตั้งชื่อเสียใหม่ว่าวัดไผ่แสวก เพื่อให้สอดคล้องกับตำบลดังกล่าวแล้ว

ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมานานหลาย สิบปี ทางราชการได้ยุบตำบลไผ่แสวกไปรวมกับตำบลบางแก้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ มีพระเถระผู้ใหญ่พร้อมด้วยภิกษุสามเณรชาวบ้านอุบาสกอุบาสิกาต่างก็มีความเห็น พร้องกันว่าสมควรที่จะเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ คือให้มีชื่อคำว่าสมาน เพราะเป็นตระกูลที่สร้างวัดและคำว่าแก้ว เพื่อให้สอดคล้องกับตำบล จึงขออนุญาตทางราชการตั้งชื่อวัดเสียใหม่ว่าวัดสมานรัตนารามมาจนทุกวันนี้

0 comments:

Post a Comment